27 ตุลาคม 2550

นิสัย 10 อย่างที่จะทำให้สมองฝ่อเร็ว

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
Ohhhhh!!!! my god ต้องทำและจงจำไว้เน้อออ
credit : Cza_za

20 ตุลาคม 2550

นมสดหนึ่งแก้ว

เมื่อหลายปีมาแล้ว ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เด็กชายเคลลี่ซึ่งอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน
เขาต้องหาเงินไปโรงเรียนเองด้วยการนำสิ่งของใส่กระเป๋าเดินไปขายตามบ้านที่อยู่ในเมืองใกล้เคียง

วันหนึ่งเขาพบว่าเมื่อจ่ายค่ารถและค่าสินค้าแล้ว
เขามีเงินในกระเป๋าเหลือเพียง 10 เซ็นต์เท่านั้น
ขณะนั้นเขากำลังหิวมาก
แต่เงินสดที่เขามีอยู่นั้นไม่พอที่จะซื้ออาหารแม้แต่เพียงมื้อเดียว
ดังนั้นเขาจึงคิดจะไปขออาหารจากบ้านที่กำลังเดินไปถึง
แต่เมื่อกดกริ่ง หญิงสาวเจ้าของบ้านมาเปิดประตู

เด็กชายเคลลี่กับเกิดความละอายใจที่จะขออาหารเหมือนกับขอทาน
เขาจึงขอเพียงน้ำเปล่าเพียงแก้วเดียวเท่านั้น

แต่เจ้าของบ้านสาวสังเกตุเห็นท่าทางของเด็กชายเคลลี่ว่าคงจะกำลังหิว
เธอจึงได้นำเอานมสดแก้วใหญ่มาให้เคลลี่ดื่ม
เด็กชายเคลลี่ดื่มนมอย่างกระหายจนหมดแก้วแล้วถามว่า
"ผมต้องจ่ายเงินค่านมถ้วยนี้ให้คุณเท่าไหร่ครับ"
เจ้าของบ้านสาวตอบว่า
"ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก แม่ของฉันสอนไม่ให้รับสิ่งตอบแทนจากการให้น้ำใจไมตรี"
เคลลี่ซาบซึ้งใจมากและตอบว่า
"ถ้าเช่นนั้น ผมขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง จากหัวใจของผมก็แล้วกันนะครับ"
ขณะที่เด็กชายเคลลี่ได้เดินออกจากบ้านหลังนั้น
เขาไม่เพียงแต่รู้สึกว่ามีกำลังแข็งแรงขึ้นจากนมสดแก้วโตเท่านั้น
และเขาได้มีความเข้าใจในเรื่องของน้ำใจไมตรีเพิ่มขึ้นด้วย......

อีก30 ปีต่อมา มีหญิงคนหนึ่งป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ
ซึ่งแพทย์ท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้
จึงส่งไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านโรคหัวใจทำการรักษา
เมื่อได้อ่านประวัติผู้ป่วยแล้ว.....
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นได้สะดุดใจกับชื่อหมู่บ้านของผู้ป่วยคนนั้นจึงตั้งใจรักษาด้วยการผ่าตัดหัวใจอย่างพิเศษโดยใช้อุปกรณ์ทันสมัยที่สุดและยาราคาแพงที่ดีสุด
จนผู้ป่วยหายเป็นปกติพร้อมจะกลับบ้าน

ผู้ป่วยมีความกังวลว่าค่ารักษาพยาบาลคงจะมีราคาแพงหลายหมื่นดอลลาร์
ซึ่งเธอเข้าใจว่าคงจะต้องทำงานทั้งชีวิตกว่าเธอจะหาเงินค่ารักษาพยาบาลได้
เพราะเธอไม่มีประกันสุขภาพ
และยังไม่สามารถไปเบิกได้จากที่ไหนได้
แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นได้บอกเจ้าหน้าที่แผนกบัญชี
ให้นำใบเก็บเงินไปให้เขา
แล้วหมอก็ใช้ปากกาเขียนข้อความสองบรรทัด
แล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่บอกให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้
โดยไม่ต้องจ่ายเงินเลย ข้อความที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเขียนในใบเรียกเก็บเงินนั้นมีว่า "จ่ายค่ารักษาพยาบาลเรียบร้อยแล้ว ด้วยนมสดหนึ่งแก้ว"
ลงนาม นายแพทย์ โฮเวอร์ด เคลลี่
"ราคาของนมสดหนึ่งแก้ว"

ป็นเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวกับน้ำใจไมตรีในต่างประเทศ
(ข้อมูลจากคณะทำงานกลุ่มน้ำใจไมตรี ประเทศสิงคโปร์จากจดหมายของนายแพทย์โฮเวอร์ด เคลลี่)
ฮ่า... น่านับถือคนแบบนี้จริงๆ ให้ด้วยไมตรีจิต ในที่สุดก็ได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจริงๆ จากนมสดหนึ่งแก้วกับการมีชีวิตอยู๋ต่อ
credit : Luzix

E-mail

เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งเพิ่งจะเข้าพักในโรงแรม เค้าเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ในห้อง เขาจึง ตัดสินใจส่ง e-mail ให้กับภรรยา แต่เขาดันพิมพ์ e-mail address ของภรรยาเขา ผิดไป และได้ทำการส่ง e-mail นั้นไปโดยที่ไม่ได้เอะใจอะไรเลย!
ในขณะนั้น...ณ. ที่แห่งหนึ่งในฮัสตัน แม่ม่ายคนหนึ่ง เพิ่งจะกลับจากพิธีฝังศพสามี เธอตัดสินใจเข้าไปตรวจดู e-mail โดยหวังว่าจะมีข้อความแสดงความเสียใจจากญาติๆ และเพื่อนฝูงส่งมาให้กำลังใจ หลังจากเธอได้อ่านข้อความแรกจบลง เธอก็หมดสติ ล้มลงทันที ลูกชายของเธอก็วิ่งเข้ามาในห้อง เห็นแม่นอนนิ่ง ตาค้างอยู่ที่พื้น โดยได้จ้องมองไปที่จอคอมพิวเตอร์ ลูกชายได้เห็นข้อความเขียนไว้ว่า
"To : ภรรยาที่รักของผม
Subject : ผมถึงเรียบร้อยแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง!
Date : 29 มี.ค 2006
ผมรู้ว่า คุณจะต้องแปลกใจเป็นอย่างมาก ที่ได้รับข่าวนี้ ที่นี่มีคอมพิวเตอร์ด้วยล่ะ! และพวกเราก็ได้รับอนุญาตให้ส่ง e-mail ถึงคนที่เรารักได้หนึ่งคน ผมเพิ่งจะมาถึง และ Checked in เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ทุกอย่างได้เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เพื่อรอต้อนรับคุณ ที่จะมาถึงในวัน พรุ่งนี้...................................................?"
555+++ ถ้าได้รับอีเมลล์แบบนี้ ก็ขอเป็นลมอีกคนนึงหล่ะ
credit : •såm_my•

15 ตุลาคม 2550

ความหมายของเกรดที่แท้จริง

เกรด s-f ไม่ใช่ว่า s คือเก่งที่สุดหรอก มันมีที่มาอยู่ว่า
s = stupid โง่บรรลัย ไม่มีสมอง
a = animal สมองน้อย
b = basic ก็แค่พื้นๆ
c = common ธรรมดา งั้นๆ
d = diligent ฉลาด หลักแหลม
e = excellent โคตรเก่ง
f = fever เก่งจนเกิดกระแสความดัง
........ดังนั้น พวกที่ได้ f อย่าเสียใจเลยนะ
........555+++ สรุปควรภูมิใจใช่มั้ย ถ้าได้ f เนี่ย

09 ตุลาคม 2550

*+++เรื่องราวของ..เขา..+++*






เห็นมั้ย! ไม่มีเขาเราก็อยู่ได้ ไม่เห็นจะยากเลยเนอะ

credit : pk001

05 ตุลาคม 2550

มาใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธีกันเถอะ

1. เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์ สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตาได้ จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไป
2. ส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ หลังปวด หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศาจัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมาก
3. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
4. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีก

ลองทำกันดูนะ จะได้ไม่เสียสุขภาพทางตา ^____^

credit : BBug yenta4